วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ความเป็นมาของชาติพันธุ์โส้


 

ทีมงานถ่ายทำรายการสาระสยาม ร่วมบันทึกภาพเป็นที่ระลึก
  
งานวิถีชุมชน คนพัฒนาสังคม  ณ  ม.ขอนแก่น

   






 

ประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์โส้

               ชาวโส้โดยลักษณะของการจัดกลุ่มชาติพันธุ์ของมนุษย์ชาติแล้ว ก็ถือว่าเป็นกลุ่มมองโกลอยด์ตระกูลออสโตรเอเชียติค มอญ- เขมร ชนเผ่าโส้นี้ Frank  M. Lebar  นักมนุยวิทยาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งได้จัดชนเผ่าโส้ไว้อยู่ในกลุ่มข่าเช่นเดียวกับพวก กะเลิง และพวกแสก ในเอกสารชั้นต้นของไทยเมื่อกล่าวถึงโส้มักจะเรียกว่า ข่ากระโส้ มากกว่าเรียกว่า โส้ แสดงให้เห็นถึงการแตกแขนงของพวกข่ามากมายหลายพวกรวมทั้งพวกโส้ซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งของข่า
         พันตรีอีริค  ไซเด็นฟาเดน  ได้บรรยายลักษณะรูปร่างของชาวโส้ในงานวิจัยภาคสนามที่อำเภอกุฉินารายณ์ โดยใช้ตนเองซึ่งเป็นชาวตะวันตก มาเปรียบเทียบ ตอนหนึ่งว่า ชาวโส้มีรูปร่างค่อนข้างอ้วน เตี้ย ความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 1.40 เมตร ถึง 1.60 เมตร ผู้ชายส่วนมากผอมรูปใบหน้าของพวกโส้เป็นรูปไข่ แบน จมูกเล็กไม่โด่ง ปลายจมูกแบน ริมฝีปากมีสีน้ำเงินเข้มและเท่ากันทั้งล่างและบนผู้ชายบางคนปลูกหนวดที่คางแต่บางๆ ผมของชาวโส้ยาวประมาณครึ่งนิ้วและออกสีค่อนข้างเหลือง ส่วนผมของสตรีจะเป็นลอนโดยธรรมชาติ  ขนตามร่างกายสั้น นิ่ม และออกสีค่อนข้างเหลือง นัยตาส่วนที่เป็นสีขาวออกสีเหลืองผิวของชาวโส้ที่อยู่ในร่มเสื้อผ้ามีสีแดงเรื่อๆ แต่ส่วนที่อยู่ข้างนอกจะออกสีคล้ำ เด็กเล็กๆจะมีจุดสีดำตามผิวหนัง แต่จุดนี้จะหายไปเมื่ออายุได้ 31 วันขึ้นไป ผู้ชายนิยมสักขาลายจากเหนือเข่าขึ้นไปถึงขาอ่อนผู้หญิงสักที่ท้องและเอวด้วยลวดลายแบบรวงข้าวหรือลายดอกไม้นานาพันธุ์   เป็นที่น่าสังเกตว่าในปัจจุบัน ความนิยมในการสักขาลายหรือท้องลายได้เสื่อมสลายไปและหาดูได้ยากในหมู่ชาวโส้ตลอดจนชนเผ่าพันธุ์อื่นๆ ทั้งนี้เพราะการวิจัยดังกล่าวได้เขียนขึ้นนานถึง 38 ปีแล้ว
         ความเชื่อของชาวโส้เองก็ยังเชื่อว่าตนเป็นข่าพวกหนึ่งแต่มิใช่ข่าที่ป่าเถื่อนยังมิได้พัฒนา ความเชื่อที่ว่าพวกตนเองเป็นพวกข่านั้นเห็นได้จากประเพณีการลักพาตัวเจ้าสาวซึ่งยังมีเหลืออยู่บ้างในปัจจุบัน ตามแบบในวรรณกรรมเรื่องสินไซหรือสังข์ศิลป์ชัย แม้ว่าวรรณกรรมเรื่องนี้จะมีชนหลายกลุ่มอ้างว่าเป็นของตนแต่ชาวโส้ก็อ้างว่าเป็นวรรณกรรมของพวกอ้ายก๊ก หรือชนพวกแรกที่ออกมาจากน้ำเต้าด้วยการใช้เหล็กเผาไฟไซรูน้ำเต้าการอ้างตนเองว่าเป็นอ้ายก๊กนี้ยัง ปรากฏในนิทานของพวกโส้เรื่องกษัตริย์ อ้ายก๊ก ผู้ที่มีปัญหาและคิดประดิษฐ์ตัวอักษรเพื่อใช้สอนประชาราษฎร์ของพระองค์ให้รู้จักอ่านเขียนหนังสือแต่โชคไม่ดีเมื่อพระองค์ทำสงครามกับศัตรูจนถูกทำร้ายจนสิ้นพระชนม์ในสนามรบ ยิ่งกว่านั้น สุนัขยังเข้าไปในบ้านพระองค์และคาบเอาหนังควายซึ่งบันทึกตัวอักษรไว้ไปกินเสียอีกจึงทำให้ ชาวโส้ไม่มีตัวอักษรขีดเขียนเหลือแต่ภาษาพูดเท่านั้น

พิธีกรรม “ อะเอียงดง ” หรือประเพณี “ จียา อะวั่อ ตาไม ”

พิธีกรรม อะเอียงดง แปลตามศัพท์ คือ ทำบ้านเรือนให้ปลอดโปร่งหรือทำบ้านเรือนให้สว่างใสว แปลตามความหมาย ได้แก่ประเพณีการกินข้าวใหม่ของชาวไทโส้ 

พิธีซางกะมูด

เมื่อมีการตายเกิดขึ้นจะมีพิธีแต่งคายเป็นค่าจ้างทำโลงศพ โดยมีเทียน 1 คู่ เหล้า 1 ขวด ไข่ 1 ฟอง เศษเหล็ก เป็นการแก้เคล็ดผู้ทำโลง ส่วนญาติฝ่ายแม่ผู้ตายจะมาในงานโดยไม่ต้องเชิญ เพื่อจะได้ทำพิธีซางผี โดยสมมุติว่าเฒ่าแก่เป็นล่าม ผู้ทำพิธี ล่ามจะใช้ถ้วย 3 ใบ ดอกไม้ 1 คู่ เทียน 1 คู่ บอกแก่ญาติฝ่ายแม่ผู้ตายว่าผู้ตายนี้ตายโดยไม่มีผู้ทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ถ้าไม่บอกจะถือว่าผิดประเพณีจะมีการปรับไหมกันขึ้น  การแต่งตัวผู้ตายจะสวมกลับทางกับผู้มีชีวิตอยู่ นำเอาข้างหน้าไปไว้ข้างหลังปิดกระดุมด้านหลัง และต้องทำให้เสื้อผ้าขาดเสียก่อน ส่วนกางเกงสวมตามปกติ พร้อมกับเขียนหนังสือใส่กระดาษหรือแผ่นทอง แผ่นเงินใส่ปากและมือผู้ตาย เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งว่าผู้ตายนำของเหล่านี้ไปจ้างทางขึ้นสวรรค์ ผู้ตายมัดมือพนมระหว่างอกใช้เสื่อห่อมัดด้วยฝ้าย ( ด้าย ) 3 เปลาะ คือ ระหว่างศอก และข้อเท้า จึงบรรจุเข้าโลงศพประดับโลงให้สวยงามและขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นพิธีซางผี (ซางกะมูด )   กระทำ ”   กะมูด  แปลว่า ผี   ซางกะมูดมีความหมายถึงการทำให้ผีสุก อันเป็นมงคลก่อนจะนำไปฝังหรือเผา หากไม่กระทำผีนั้นก็จะเป็นผีดิบ ซึ่งไม่เป็นมงคล ( ผีในที่นี้หมายถึง ซากศพ )  คนตายที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป จึงจะทำพิธีซางได้ หากซากศพนั้นเป็นซากศพที่ตายปกติการทำพิธีซางจะทำได้เลย หากเป็นซากศพที่ตายโดยอุบัตเหตุตายโดยผิดปกติธรรมดาจะซางได้ก็ต่อเมื่อถึงขวบปีผ่านไปแล้วจึงจะทำพิธีซางได้

ประเพณีการเกิด

พิธีเหยา

ประเภทของการเหยา
       พิธีเหยาเรียกขวัญ   แต่งคาย ขันห้าไข่ไก่ 1 ฟอง ข้าวสาร1 ถ้วย เงิน 6 บาท ง้าว 1 เล่ม เหล้า 1 ขวด น้ำหอม 1 ขัน หมอน 1 ใบ แคน 1 อัน พร้อมด้วยคนเป่า พอได้ฤกษ์หมอเขาก็จะเริ่มพิธีโดยขับลำหมอแคนก็จะเป่าแคนประกอบ ในการขับลำนี้จะเป็นการเสี่ยงทายหาสาเหตุว่า ในขณะนี้ขวัญของคนป่วยอยู่ที่ใดและอยู่กับใคร เมื่อหมอแคนเป่าแคนหมอเหยาก็จะขับลำเรียกขวัญของคนป่วยอยู่ ณ ที่ใดก็ให้รีบกลับมา เมื่อขวัญมาแล้วหมอเหยาก็จะบอกว่า ขวัญมาแล้วและทำการผูกรับขวัญคนป่วยเป็นเสร็จพิธี
        เหยารักษาคนป่วย  โดยการแต่งคาย ตามแบบอย่างการเหยาเรียกขวัญทุกอย่าง เพิ่มผ้าถุง 1 ผืน ผ้าขาวม้า 1 ผืน เงิน 12 บาท  หมอเหยาจะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ในการปราบผีวิญญาณที่เข้าสิงในร่างของคนป่วย เช่น การเหยียบไฟ แล้วมาเหยียบบริเวณของร่างกายคนป่วยที่เข้าใจว่าผีสิงอยู่ ตัดกระทงหน้าวัว คล้ายกระทงสามเหลี่ยมใช้เฉพาะกรณีที่มีการตัดกรรมตัดเวร โดยใช้เส้นด้ายยาวพอประมาณปลายเชือกหรือด้ายข้างหนึ่งให้ผู้ป่วยถือไว้ในลักษณะนั่งจับเหยียดเท้าทั้งสองไปข้างหน้าปลายเชือกอีกข้างหนึ่งผูกติดกระทง หมอผีจะถือง้าวพร้อมกับขับลำตัดกรรมตัดเวร แล้วใช้ง้าวตัดด้ายให้ขาดออกจากกันแล้วนำด้ายที่ตัดผูกแขนผูกคอผู้ป่วยไว้เพื่อเป็นการป้องกันวิญญาณร้ายไม่ให้เข้ามารังควาญอีก นอกจากนี้หมอเหยายังอมเทียนเป่าเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยในทุกๆแห่งที่คิดว่าวิญญาณสิงอยู่ในร่างกายของผู้ป่วย

        การเหยาแก้บน  แต่งคายเหมือนกับพิธีข้างต้น ( เหยารักษาคนป่วย ) มีแต่งคายเพิ่มอีก 1 คาย และเพิ่มกระทง 9 ช่อง ให้ทำรูปช้าง รูปม้า หรือรูปวัว ( แต่งคล้ายกับเครื่องสะเดาะเคราะห์ ) หมอเหยาจะเริ่มเหยาด้วยการแต่งชุดตามผีบอกนั่งพับเพียบก้มเงยหน้า มือทั้งสองเสยผม พร้อมกันลำบอกให้ทราบว่าผู้ป่วยได้หายจากอาการป่วยแล้วจึงได้นำเครื่องบนมาสังเวย ขอให้วิญญาณที่มีส่วนเกี่ยวข้องมารับเครื่องเหล่านี้และทำพิธีเชิญผีให้ออกจากร่างของผู้ป่วย โดยใช้ข้าวเหนียวสุกกวาดตามร่างของผู้ป่วยซึ่งในขณะนั้นหายดีแล้ว อยู่ในลักษณะนั่งเหยียดขาทั้งสองข้าง หมอเหยาจะลำขับวิญญาณที่ยังคงเหลืออยู่ให้ออกไปโดยใช้ข้าวสุกกวาดตามร่างกายของผู้ป่วยแล้วทิ้งลงในกระทง ประมาณ 3-5 ครั้ง ระหว่างกระทงและมือของผู้ถือขาดออกเป็น 2 ท่อน ญาติของผู้ป่วยจะยกกระทงนั้นออกจากบริเวณบ้านไปตามทิศทางที่ ล่าม บอกเพื่อส่งวิญญาณและในขณะเดียวกันหมอเหยาก็จะเสี่ยงทายหาสมุนไพรเพื่อรักษาคนป่วยให้หายขาดต่อไป